เซปัก (Sepak) เป็นคำในภาษามลายู แปลว่า เตะ
ตะกร้อ เป็นคำไทย หมายถึง ลูกบอลที่ถักด้วยหวาย
“เซปักตะกร้อ” จึงหมายถึง กีฬาที่ใช้เท้าเตะลูกหวาย
โดยแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชื่อเรียกต่างกัน เช่น
มาเลเซีย: Sepak Raga
พม่า: Chinlone
ฟิลิปปินส์: Sipa
ไทย: ตะกร้อ
มีการกล่าวถึงการละเล่นที่คล้ายตะกร้อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 15
สมัย สุลต่านแห่งมะละกา (ปัจจุบันคือมาเลเซีย) มีการเล่น "เซปัก" ในพระราชสำนัก โดยเล่นกันเป็นวงกลม ไม่ให้ลูกตกพื้น
ในประเทศไทยมีการละเล่น “ตะกร้อวง” โดยผู้เล่นยืนเป็นวงและเตะลูกหวายให้ลอยอยู่ตลอด
จากเดิมเตะกันเป็นวงกลมเพื่อความสนุก → เปลี่ยนเป็นการเล่นข้ามตาข่ายคล้ายวอลเลย์บอล
ใช้ผู้เล่นทีมละ 3 คน และมีการจัดรูปแบบการแข่งขันที่ชัดเจน
ปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965): มีการประชุมร่วมระหว่างประเทศในอาเซียนที่กรุงเทพฯ เพื่อกำหนดกติกามาตรฐาน
จัดตั้ง Asian Sepaktakraw Federation (ASTAF) เพื่อควบคุมและพัฒนากีฬาในระดับสากล
ปี พ.ศ. 2535: มีการจัดตั้ง สหพันธ์เซปักตะกร้อระหว่างประเทศ (International Sepaktakraw Federation - ISTAF) เพื่อขยายกีฬานี้ทั่วโลก
เริ่มแพร่หลายในสมัย รัชกาลที่ 5 ผ่านการละเล่นพื้นบ้าน
ช่วงแรกนิยมเล่นแบบ “ตะกร้อวง” ในลานวัด งานวัด งานบุญประเพณี
ปี พ.ศ. 2476 มีการแข่งขันตะกร้อแบบข้ามตาข่ายเป็นครั้งแรกที่สนามหลวง
ต่อมาได้รับการส่งเสริมโดย สมาคมกีฬาเซปักตะกร้อแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2508
ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจของกีฬาเซปักตะกร้อ โดยเฉพาะประเภท ทีมชุด (regu) และ ทีมเดี่ยว
คว้าแชมป์หลายรายการ ทั้ง ซีเกมส์, เอเชียนเกมส์, และ การแข่งขันชิงแชมป์โลก ISTAF World Cup
ทีมชาติไทยมีเทคนิคการเล่นที่โดดเด่น เช่น การเสิร์ฟด้วยการกระโดด (Jump Serve), การเตะลูกกลับหลัง (Roll Spike)
ได้รับความนิยมแพร่หลายในหลายประเทศนอกอาเซียน เช่น เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และบางประเทศในยุโรป
การแข่งขันรายการใหญ่ เช่น
King’s Cup Sepaktakraw World Championship (จัดที่ประเทศไทยเป็นประจำ)
Asian Games
SEA Games
ISTAF SuperSeries
กีฬาเซปักตะกร้อเป็นกีฬาที่เกิดจากภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกีฬาสากล มีทั้งความสวยงามในท่วงท่า ความยากทางเทคนิค และความภาคภูมิใจของชาติที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน เช่น ประเทศไทยและมาเลเซีย